ในหนังเรื่อง Interstellar; อินเตอร์สเตลลาร์ ทะยานดาวกู้โลก

       แฟนหนัง Sci-Fi (นวนิยายวิทยาศาสตร์) ที่หวังว่ามนุษย์สามารถข้ามไปยังที่ๆห่างไกลของจักรวาลผ่านรูหนอน--ที่นักบินอวกาศได้ทำในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด "ทะยานดาวกู้โลก, (Interstellar, 2014)" ไม่ควรพลาด

       รูหนอนเป็นอุโมงค์ทางทฤษฎีที่ใช้เดินทางผ่านกาล-อวกาศ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็ว — หรืออาจจากกาแล็กซี่หนึ่งไปยังกาแล็คซี่อื่นๆ






       "รูหนอนอาจมีอยู่จริงหรืออาจสร้างได้ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอสไตน์ การเดินทางที่แปลกใหม่เช่นนี้ มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์"-- Kip Thorne กล่าว (Kip Thorne เป็นที่ปรึกษาและเป็นโปรดิวเซอร์หนังเรื่อง "Interstellar" )

       "แต่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากชี้ว่า มนุษย์จะไม่สามารถเดินทางไปในรูหนอนได้ตามกฎของฟิสิกส์ นั่นเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่นั่นคือทิศทางที่สิ่งที่จะชี้ไป"





       การที่เราจะเข้าไปในรูหนอน เราต้องหาบางสิ่งบางอย่างมาแทรกไว้ เพื่อให้รูหนอนเปิดอยู่ โดยปกติ รูหนอนจะเปิดและปิดอย่างรวดเร็วจนไม่มีสิ่งใดสามารถเข้าได้ทัน

       บางสิ่งบางอย่างดังกล่าว คือ "ตัวต้านแรงดึงดูด, Anti-Gravitates" หรือมีอีกชื่อคือ พลังงานเชิงลบ พลังงานนี้ถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการ พื้นที่หนึ่งไปยืนพลังงานจากอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งทำให้ขากสมดุล

       Anti-Gravitates สามารถสร้างขึ้นได้จริง แต่นักวิทยาศาสตร์สามารถขึ้นได้น้อยมาก แต่มันไม่มีทางที่จะสร้างให้ได้เพียงพอที่จะใช้เปิดรูหนอนไว้ได้

       นอกจากนี้ เป็นเรื่องที่แน่นอนว่ารูหนอนจะไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ การสร้างรูหนอนนั้นต้องสร้างขึ้นโดยอารยธรรมที่ก้าวหน้ามากกว่าเรา

       และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเรื่อง "Interstellar" สิ่งมีชีวิตลึกลับได้สร้างรูหนอนขึ้น อยู่บริเวณใกล้ๆดาวเสาร์ ช่วยให้มนุษย์ได้เดินทางไกล ออกไปค้นหาบ้านใหม่สำหรับมนุษยชาติ ซึ่งการดำรงอยู่บนโลกถูกคุกคาม เนื่องจากความล้มเหลวของการเพาะปลูก

       หลายคนที่สนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของหนังเรื่อง "Interstellar" สามารถหาหนังสือมาอ่านได้ ที่เขียนโดย Thorne (โปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้) ชื่อหนังสือ "The Science of 'Interstellar.'"

       รูหนอนเป็นแนวคิดในนิยายวิทยาศาสตร์มานานหลายทศวรรษ มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจเนื่องจากมันช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามที่จะทำความเข้าใจโครงสร้างที่สมมุติขึ้น

       "การวิจัยที่ทันสมัยในเรื่องฟิสิกส์ของรูหนอนส่วนใหญ่เกิดจากภาพยนตร์เรื่อง 'Contact'

       ในหนังเรื่อง "Contact" มีรูหนอนที่ใช้ในการข้ามเวลาได้ นวนิยายเรื่องนี้ออกมาในปี 1985 ในขณะที่ภาพยนตร์ ได้ออกฉายในปี 1997

ที่มา http://www.space.com/

อะไรคือพลังงานมืด สสารมืด และการชะลอการขยายตัวของจักรวาล

ส่วนประกอบของจักรวาล
       จากงานศึกษาล่าสุด ดูเหมือนว่าพลังงานมืดเกิดจากการดูดกลืนสสารมืดและช่วยชะลอการขยายตัวของจักรวาล

       สสารมืดเป็นกระดูกสันหลังของจักรวาล--มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามันมีอยู่จริง มันมีลักษณะสมบัติที่คล้ายวัตถุทั่วไปที่มองเห็นในจักรวาล เช่น ดาวเคราะห์ และดวงดาวต่างๆ นักฟิสิกส์ยังไม่สามารถตรวจวัดสสารมืดได้โดยตรง และไม่มีใครรู้ว่าสสารมืดประกอบด้วยสิ่งใด นักวิทยาศาสตร์สามารถบอกได้ว่ามันมีอยู่จริง จากแรงโน้มถ่วงของมันที่มันกำลังเหวี่ยงดาวดวงต่างๆให้เร็วขึ้น ปัจจุบันงานวิจัยใหม่แสดงให้เห็นว่าสสารมืดอาจจะหายไปอย่างช้า ๆ




วัตถุที่เราสามารถมองเห็นได้ มีเพียง 5% เท่านั้น
       ในจักรวาลของเรา มีพลังงานและสสารมืดเกือบ 95 % (พลังงานมืด 70% และสสารมืดอีก 25%) ซึ่งพลังงานมืดเป็นแรงที่ทำงานตรงข้ามกับแรงโน้มถ่วง--แรงโน้มถ่วงดึงดูดวัตถุให้เข้าหากัน ส่วนสสารมืดเป็นเหมือนแรงดึงดูด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพลังงานมืดกำลังผลักดวงดาวให้ถอยห่างออกจากกัน

       "ทั้งพลังงานมืดและสสารมืดยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนัก"--David Wands กล่าว ;เขาเป็นผู้อำนวยการสถาบันแห่งจักรวาลวิทยาและแรงโน้มถ่วงที่มหาวิทยาลัยพอร์ตสมัทในอังกฤษ ทีมงานของWandsได้นำเสนองานวิจัยรูปแบบใหม่ ว่า พลังงานมืดมีปฏิสัมพันธ์กับสสารมืดและวัตถุอื่นๆในจักรวาลได้อย่างไร

       "ถ้าพลังงานมืดมีขนาดมากขึ้นเรื่อยๆและสสารมืดจะลดลงเรื่อยๆ สุดท้ายจะมีพลังงานขนาดใหญ่ แต่ไม่เหลือวัตถุสสารอะไรเลย กลายเป็นจักรวาลที่ว่างเปล่า"--Wands กล่าว



พลังงานมืด(ลูกโป่ง) ผลักออก
สสารมืด(สปริง) ดึงดูด
       เนื่องจากสสารมืดช่วยให้วัตถุต่างๆมีรูปร่างขึ้นมาได้ เช่น กาแลกซี่ และดาวเคราะห์ต่างๆ แต่การค้นพบใหม่นี้แสดงให้เห็นว่ากรอบดังกล่าวได้หายไป และเกิดการชะลอการขยายตัวของจักรวาล

แนวคิดใหม่ที่อธิบายการขยายตัวของจักรวาล

       แบบจำลองใหม่นี้มีชื่อว่า  "The Lambda Cold Dark Matter model" และมีค่าคงที่ของพลังงานมืดด้วย--รู้จักกันในชื่อ ค่าคงที่ของจักรวาล (cosmological constant) แบบจำลองนี้สนับสนุนความคิดที่ว่าจักรวาลได้เกิดการขยายตั้งแต่เกิดบิ๊กแบง และการขยายตัวของมันเกิดจากพลังงานมืดที่ผลักวัตถุต่างๆให้ออกจากกัน

       ในช่วงแรกไอสไตน์เข้าใจว่าจักรวาลมีความเร็วคงที่ เขาใช้ค่าคงที่ในสมการของเขา ต่อมามีหลักฐานมากขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจักรวาลกำลังขยายตัว ไอสไตน์ได้ยอมรับว่านี้เป็น "ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"

       ในขณะที่ก่อนหน้านี้มีการศึกษาเรื่องค่าคงที่ แต่มูลที่ได้นั้นไม่สอดคล้องกับแบบจำลอง ตัวอย่างเช่น ดาวเทียมPlanck ทำการวัดค่ารังสีไมโครเวพที่ยังหลงเหลืออยู่ที่เกิดจากบิ๊กแบ๊ง แต่ข้อมูลที่ได้กลับไม่ตรงกันอย่างสมบูรณ์แบบ--ข้อมูลการขยายตัวของเอกภพส่วนใหญ่ที่ได้จากการทดลองนั้นไม่พอดีกันอย่างลงตัว

       แนวคิดใหม่นี้อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้ คือ "บางส่วนของพลังงานมืด เติบโตมาจากการกินสสารมืด"

สสารรมืดหายไปจริงหรือ?
       นักฟิสิกส์ได้รู้จักข้อมูลจากมักซ์พลังค์ และการทดลองอื่น ๆ ที่ไม่ตรงกับรูปแบบคงของจักรวาล--Mikhail Medvedev ผู้ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวิจัยสสารมืดสลายให้เป็นพลังงานมืด สามารถอธิบายได้ว่าทำไมข้อมูลไม่พอดี แต่มันก็เป็นคำอธิบายหนึ่งที่เป็นไปได้

       สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเบาะแส ต้องศึกษากันอีก--Medvedev กล่าวเสริม

Reference http://www.space.com/27852-dark-energy-eating-dark-matter.html

เศษควันของซูเปอร์โนวาในเนบิวลา Veil



       กลุ่มควันที่ยังคงหลงเหลืออยู่(เป็นเส้นสีแดงๆทางซ้ายมือ) ซึ่งมองเห็นได้จากทางช้างเผือก

       ประมาณ 7,500 ปีที่ผ่านมา มีดาวที่ระเบิดเป็นซูเปอร์โนวาในเนบิวลา 'Veil' --รู้จักกันในชื่อ "Cygnus Loop" ในตอนนั้นกลุ่มเมฆต่างๆเกิดการขยายตัวออกอย่างเห็นได้ชัด และสามารถมองเห็นได้นานเป็นสัปดาห์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้บันทึกภาพประวัติศาสตร์ไว้ ปัจจุบันกลุ่มควันได้จางลงไปมากแล้ว สามารถมองเห็นได้เพียงการใช้กล้องกล้องโทรทรรศน์ส่องดู Veil Nebula มีขนาดใหญ่ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 1,400 ปีแสง

       จากในภาพเนบิวลา กลุ่มควันดังกล่าวมีลักษณะเป็นเส้นสีแดงๆ อยู่ทางด้านซ้ายมือ เป็นภาพที่ส่องโดยกล้อง Isaac Newton ที่มีขนาดเลนส์ 2.5 เมตร ที่หอสังเกตุการ Roque de los Muchachos บนเกาะคานารี

NGC 6992: Filaments of the Veil Nebula
Credit & Copyright: Daniel Lopez (Observatorio del Teide)
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap091201.html

ดาวหาง Hyakutake โคจรผ่านเข้าใกล้โลก



       ในปี 1996 มีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น... มันคือดาวหางที่ผ่านเข้ามาใกล้ดาวเคราะห์โลก ดาวหางถูกค้นพบก่อนที่จะมาใกล้โลกแค่เพียงไม่ถึง 2 เดือน ดาวหางนี้ถูกตั้งชื่อว่า C/1996 B2 Hyakutake ซึ่งจะเข้าใกล้โลกเป็นระยะทาง 1 ใน 10 ของระยะจากโลกถึงดวงอาทิตย์ มันเป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปี 1996 และยังเป็นดาวหางที่สว่างที่สุดในรอบ 20 ปี ดาวหางที่กำลังมาถึงเป็นดาวหางที่มีส่วนประกอบที่มีอยู่ในโลก--ในยุคหินเมื่อ 17,000 ก่อน

       หางของดาวหางมีสีฟ้า เกิดจากไออ่อนของอนุภาค ส่วนหัวของดาวหาง มีสีเขียว-น้ำเงิน ซื่งมีก้อนน้ำแข็งที่สกปรกอยู่อย่างหนาแน่น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 กิโลเมตร

       ไม่กี่เดือนต่อมา ดาวหางนี้ถูกแรงเหวี่ยงของดาวเคราะห์ เหวี่ยงมันออกไปยังระบบสุริยะวงนอก ดาวหาง Hyakutake น่าจะโคจรกลับมาอีกในราวๆ 100,000 ปีข้างหน้า

ชื่อบทความ Comet Hyakutake Passes the Earth
Credit & Copyright: Doug Zubenel (TWAN)
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap091216.html

กาแล็คซี่เกลียว 'M81' กาแล็คซี่ที่มีขนาดเท่ากาแล็กซี่ของเรา | Galaxy M81

กาแลคซี่เกลียว M81
       หนึ่งในกาแลคซีที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เป็นกาแลคซี่ที่มีขนาดใกล้เคียงกับกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา กาแลคซี่ที่สวยงามนี้มีชื่อว่า "M81" เป็นกาแลคซี่เกลียวที่สามารถพบได้ทางเหนือของกลุ่มดาวหมีใหญ่ ภาพด้านบนนี้ เป็นภาพที่มีความละเอียดสูงสุดที่แสดงรายละเอียดของกาแลกซีนี้ ใจกลางของกาแลคซี่มีแสงเหลือง และแขนของเกลียวมีสีน้ำเงิน

ชื่อบทความ Bright Spiral Galaxy M81
Image Credit: Subaru Telescope (NAOJ), Hubble Space Telescope;
Processing & Copyright: Roberto Colombari & Robert Gendler
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap141119.html

ย้อนอดีต จากดวงจันทร์ มาสู่โลก



       หลังจากการเดินทางที่โด่งดังที่สุดของยุคปัจจุบัน มันเป็นเวลาที่จะได้กลับบ้าน (หลังจากที่พิสูจน์ความสามารถของมนุษย์ ความสามารถที่จะไปเกินขอบเขตของโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก) นีลอาร์มสตรองและบัซซ์อัลดริน ได้เดินทางกลับมายังโลก

       ภาพด้านบนถูกบันทึกโดยยานอวกาศ ในปี 1969 วันที่ 21 กรกฎาคม เป็นภาพของดวงจันทร์(ใกล้) และโลก(ที่อยู่ไกลออกไป) พรุ่งนี้ (20 กรกฎาคม 2009) เป็นวันครบรอบ 40 ปีของการไปถึงดวงจันทร์คนแรก

       เมื่อเร็ว ๆ นี้ยานอวกาศขององค์การนาซ่าที่สำรวจดวงจันทร์ จะส่งภาพกลับมา เป็นครั้งแรกของที่สุดของการเชื่อมโยงไปถึงอพอลโล - รวมทั้งอพอลโล 11 - ภาพที่ได้จะมีความละเอียดพอที่จะเห็นร่องรอยโบราณ

ชื่อบาความ From the Moon to the Earth
Credit: Apollo 11, NASA
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap090719.html

ยานอวกาศที่ออกค้นหาดาวเคราะห์เอเลียน เป้าหมาย 70,000 ดวง

       ยานอวกาศยุโรปที่ส่งขึ้นฟ้าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็สามารถค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบ 70,000 ดวง รายงานการศึกษาใหม่นี้จะช่วยให้นักวิจัยคาดการจำนวนของดาวเคราะห์ที่น่าจะมีมนุษย์ต่างดาวทั่วทั้งจักรวาล

      องค์การอวกาศของยุโรป ได้ส่งยานอวกาศไปทำภารกิจ Gaia ซึ่งส่งยานขึ้นอวกาศในเดือนธันวาคม 2013 ภารกิจนี้ คาดว่าน่าจะพบดาวเคราะห์เอเลี่ยนประมาณ 21,000 ดวง ในช่วงเวลา 5 ปี และคาดว่าน่าจะพบดาวเคราะห์ของมนุษย์ต่างดาว 70,000 ดวง ในเวลา 10 ปี

      ผู้นำของโครงการแถลงว่า "มันไม่ใช่ได้เพียงจำนวนดาวเคราะห์ที่น่าจะมีสิ่งมีชีวิต แต่มันยังจะศึกษารายละเอียดบางอย่างอีก ซึ่งเหล่านี้เป็นที่น่าสนใจในการหาเพื่อนต่างดาว"

      โลกมนุษย์ต่างดาวถูกพบเป็นครั้งแรกในปี 1995 ตั้งแต่นั้นมา นักดาราศาสตร์ได้พบดาวเคราะห์นอกระบบเกือบ 2,000 ดวง ที่น่าจะมีมนุษย์อาศัยอยู่ การค้นพบมากกว่าครึ่งมาจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ของนาซ่า

      ยังมีดาวเคราะห์อีกมากมายที่รอการค้นพบ นักดาราศาสตร์คิดว่า หากทางช้างเผือกมีดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ 1 ดวง ดังนั้นแล้ว ในจักรวาลน่าจะมีดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์อยู่มากกว่า 100000000000 ดวง

      Perryman และเพื่อนร่วมงานของเขาต้องการที่จะเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการสำรวจดาวเคราะห์ต่างๆ
พวกเขประมาณการเหล่าดาวเคราะห์ต่างๆโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ศึกษาโครงสร้างของกาแล็กซี่หรือตำแหน่งของดวงดาวต่างๆ จากนั้นนำมาสร้างเป็นโมเดล เพื่อเลือกเส้นทางที่คาดว่าน่าจะพบดาวเคราะห์เอเลียนได้มากที่สุด

ที่มา
1. Earth and Planetary Astrophysics
2. www.livescience.com/48673-gaia-spacecraft-70000-alien-planets.html

การก่อตัวของดวงดาวในเนบิวลาลูกอ๊อด | ข่าวดาราศาสตร์

เนบิวลาลูกอ๊อด
       แสงที่ปล่อยออกมาจากฝุ่นในเนบิวลาลูกอ๊อด ( IC 410 ) อยู่ห่างจากโลกประมาณ 12,000 ปีแสง มีความกว้างประมาณ 100 ปีแสง การที่เนบิวลามีรูปร่างต่างๆ เกิดจากการแผ่รังสีและการปล่อยอนุภาคของกระจุกดวงดาว NGC 1893 เป็นเมฆที่เกิดขึ้นเพียง 4 ล้านปีที่ผ่านมา ภาพที่สวยงามนี้ถูกถ่ายไว้โดยดาวเทียมของนาซ่า (NASA's Wide Field Infrared Survey Explorer) หรือ WISE

Star Formation in the Tadpole Nebula
Image Credit: WISE, IRSA, NASA; Processing & Copyright : Francesco Antonucci
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap141118.html

เนบิวลาทิวลิป | ดาราศาสตร์

เนบิวลาทิวลิป
       เขตที่ปล่อยก๊าซที่สดใส มองเห็นได้โดยใช้กล้องส่องไปตามระนาบของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรา ไปทางกลุ่มดาวหงส์  นิยมเรียกว่าเนบิวลาทิวลิป เมฆเรืองแสงของก๊าซและฝุ่นระหว่างดวงดาวเหล่านี้ ถูกบันทึกในปี 1,959 ในแคทตาล็อคของนักดาราศาสตร์ ชื่อ Stewart Sharpless

       เนบิวลาทิวลิปนี้ห่างจากโลกประมาณ 8,000 ปีแสง มีความกว้าง 70 ปีแสง สีแดง, สีเขียว, สีฟ้าและสีที่เป็น เกิดจากการการแตกตัวเป็นไอออนของอะตอมกำมะถัน ไฮโดรเจนและออกซิเจน

ชื่อบทความ The Tulip Nebula
Image Credit & Copyright: J-P Metsävainio (Astro Anarchy)
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap141115.html

ฝนดาวตกสิงโต (หรือฝนดาวตกลีโอนิดส์) ในปี 1999 และ 2014 | ดาราศาสตร์


       ฝนดาวตกสิงโต (หรือฝนดาวตกลีโอนิดส์) ในปี 1999 ผู้สังเกตการณ์ในยุโรปจะได้เห็นอุกกาบาตชัดเจนมากที่สุด ซึ่งมีดาวตกมากกว่า 1,000 ดวงต่อชั่วโมง สำหรับสถานที่อื่นๆ จะเห็นฝนดาวตกระหว่าง 30 - 100 ดวงต่อชั่วโมง

หอคอย Guaita
       ภาพด้านบนนี้ ใช้เวลาจับแสงนาน 20 นาที ถ่ายในช่วงที่จะมีฝนดาวตกมากที่สุด จากภาพจะเห็นดาวตกอย่างน้อย 5 ดวง อยู่เหนือหอคอย Guaita---หอคอยที่สร้างขึ้นเพือเป็นหอสังเกตการณ์ที่ใช้ในช่วงศตวรรษที่ 12 ในเจโรนา, สเปน

       ในปี 2014 ในช่วงไม่กี่คืนต่อไป จะเกิดฝนดาวตกสิงโตอีกครั้ง นักดาราศาสตร์คาดการว่า น่าจะเห็นฝนดาวตกประมาณ 15 ดวงต่อชั่วโมง ในที่มืด

ชื่อบทความ Leonids Above Torre de la Guaita
Image Credit & Copyright: Juan Carlos Casado (TWAN)
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap141116.html

ระบบดวงดาวอื่นๆ มีรูปร่างอย่างไร? | ดาราศาสตร์


       เพื่อช่วยในการหาคำตอบนี้ นักดาราศาสตร์จะดำเนินการสังเกตรายละเอียดของดาวโดยจับแสงอินฟราเรด เพื่อดูว่ามีฝุ่นละอองที่อาจกำเนิดดาวเคราะห์หรือไม่

       การสังเกตการณ์โดยองค์การนาซ่า ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ และหอดูดาวอวกาศ'เฮอร์เชล' ได้พบว่า ระบบดาวเคราะห์ "HD 95086" มีฝุ่นละอองเป็นลักษณะจานหมุน 2 แผ่น แผ่นหนึ่งร้อนและอยู่ใกล้ ส่วนอีกแผ่นเย็นและอยู่ไกลออกไป

       ภาพประกอบด้านบนถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคนิคกราฟฟิค ที่แสดงระบบที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งดาวเคราะห์ที่มีแหวนที่มีขนาดใหญ่วงโคจรระหว่างแผ่นฝุ่นละออง ดาวเคราะห์อาจจะสร้างช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างแผ่นฝุ่นละออง โดยการดูดจับฝุ่นโดยแรงโน้มถ่วงของมัน

       ระบบดาวเคราห์ HD 95086 เป็นดาวสีฟ้าประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรา อยู่ห่างจากโลกประมาณ 300 ปีแสง และสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องส่องทางไกล

       การศึกษา 95,086 HD อาจช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจถึงกระบวนการก่อตัว และวิวัฒนาการของระบบสุริยะของเราเอง

ชื่อบทความ The Double Dust Disks of HD 95086
Illustration Credit: Spitzer Space Telescope, JPL, NASA
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap141117.html

ทำไมเราถึงง่วง หลังจากมีเซ็กส์

       คำตอบเหล่านี้ ตอบโดย Melinda Wenner ซึ่งเป็นโปรเจ็คในมหาลัยนิวยอร์ก เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพและสิ่งแวดล้อม


       สำหรับผู้หญิงหลายๆคน ระหว่างเพศและการนอนกรนเป็นหนึ่งในเรื่องจริงที่น่ารำคาญ ในขณะที่เรากำลังมีความสุข ดูเหมือนผู้ชายจะผล็อยหลับไปทันที...

       Dave ผู้เขียนเรื่องเกี่ยวกับ'ความรักและเซ็กส์'ได้กล่าวไว้ว่า "ผู้ชายไปนอนเพราะผู้หญิงไม่ได้เปลี่ยนเป็นพิซซ่า!" (ไม่รู้จะตื่นอยู่ทำไม? ถ้าผู้หญิงเป็นพิซซ่า คงอยู่กินก่อน แล้วค่อยนอน!)

       บางครั้งผู้หญิงก็รู้สึกง่วงนอนหลังจากมีเซ็กส์ แต่ผู้หญิงจะแสดงอาการได้ชัดเจนกว่าผู้ชาย

เหตุผลข้อที่หนึ่ง
       เซ็กส์เป็นการกระทำที่มักในเวลากลางคืน และอยู่บนเตียง การกระทำนี้ทำหลังจากเสร็จงานทั้งหมดแล้ว ซึ่งทำให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อย (มักจะเกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง) ดังนั้นเมื่อมีเซ็กส์เสร็จ มันเป็นธรรมชาติที่จะรู้สึกง่วงนอน


เหตุผลข้อที่สอง
       จากการวิจัยโดยใช้การใช้เครื่องเอกซเรย์ปล่อยโพซิตรอน (PET) ตรวจดูร่างกายในขณะที่กำลังถึงจุดสุดยอด ผลของการถึงจุดสุดยอดคือ "ปล่อยความทุก ความกลัวและความวิตกกังวลออกจากสมอง" การทำเช่นนี้ทำให้ผ่อนคลาย และจะทำให้เกิดความง่วง

       งานวิจัยเผยให้เห็นว่า การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ในช่วงการหลั่งของผู้ชาย จะปล่อยสารเคมีในสมองออกมา เช่น โพรแลกติน ทำให้เกิดความรู้สึกของความพึงพอใจทางเพศ เมื่อผู้ชายถึงจุดสุดยอดแล้วต้องใช้เวลาสักพักเพื่อผลิตสารนี้ออกมาใหม่ (จึงทำให้ไม่อยากทำอะไร, ความคิดและความรู้สึกจะแปรปรวนชั่วขณะ) ระดับของโพรแลกตินจะเพิ่มสูงในขณะที่หลับ

อะไรที่เป็นวิวัฒนาการง่วงนอนสำหรับการหลับหลังมีเซ็กส์?
       เป้าหมายหลักของมนุษย์คือการผลิตลูกหลานมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้! และการนอนหลับไม่ได้ช่วยให้ผลิตลูกได้ แต่เป็นเพราะเขาไม่สามารถทำต่อได้ทันที ดังนั้น การนอนหลับเป็นทางที่ดีที่สุดในช่วงเหตุการณ์นั้น

       ผู้หญิงบางคนรู้สึกง่วงนอนหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ เธอก็มักจะเผลอหลับไปกับผู้ชาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี มันหมายความว่าเธอจะไม่ออกไปหาคู่อื่น เมื่อชายคนนั้นตื่นขึ้นมา เขาและเธออาจพร้อม...

       จากผลการสำรวจในอังกฤษพบว่า มี 48% ที่ผู้ชายจะนอนหลับหลังจากการมีเซ็กส์เสร็จ




ที่มา http://www.livescience.com/

ยาน Philae ลงจอดบนดาวหาง C67/P เรียบร้อยแล้ว



คำอธิบาย: ภารกิจการลงจอดบนดาวหางเป็นไปอย่างปลอดภัย ภาพด้านบน เป็นภาพของพื้นผิวของ C67 / P-Churyumov Gerasimenko ในขณะที่กำลังลงจอด ยาน Philae เด้งขึ้นสองครั้งก่อนที่จะหยุดนิ่ง จากนั้นยาน Philae ก็ส่งภาพพื้นผิวดาวหางกลับมา ทัศนียภาพของพื้นผิวดาวหางนี้แสดงให้เห็นว่ายานลงจอดในบริเวณไกล้โขดหินขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้แผงโซล่าเซลล์รับแสงได้น้อยกว่าที่ควร เครื่องมือการสำรวจที่ติดไปกับPhilae  ยังคงทำงานเป็นปกติ

ชื่อบทความ Welcome to a Comet
Image Credit: ESA/Rosetta/Philae/CIVA
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap141114.html

รถแลนด์โรเวอที่ใช้ตรวจหาก๊าซมีเทนบนดาวอังคาร

เทคโนโลยีอวกาศพัฒนาโดยนาซ่า
เทคโนโลยีอวกาศพัฒนาโดยนาซ่า

       รถแลนด์โรเวอที่ใช้สำรวจพื้นผิวดาวอังคาร กำลังค้นหาก๊าซมีเทนบนดาวอังคาร โดยใช้อุปกรณ์ที่ดัดแปลงมาจากอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบการรั่วไหลของก๊าซจากบนโลก

       วิศวกรของนาซา โดย Jet Propulsion Lab ในพาซาดีนา แคลิฟอร์เนีย ต้นแบบการพัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์ตามล่าหาร่องรอยของก๊าซมีเทนบนดาวเคราะห์แดง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็เป็นได้ แต่ก๊าซมีเทนยังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของก๊าซธรรมชาติบนโลก ดังนั้น บริษัท California-based Pacific Gas and Electric Company (PG&E) ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการค้นหาก๊าซ จะเทคโนโลยีเข้ากับรถแลนด์โรเวอร์ มันจะสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ

       บริษัท PG & E ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ารายใหญ่ บริษัทนี้จ่ายกระแสไฟให้รัฐแคลิฟอร์เนียเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ หลายคนมีความเห็นว่าก๊าซธรรมชาติเป็น "เชื้อเพลิงสะพาน" ที่จะช่วยให้มนุษย์เลิกใช้ถ่านหินและผลักดันไปสู่สังคมสีเขียว หรือใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ แต่ก๊าซธรรมชาติก็มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน รวมถึงความปลอดภัยท่อส่งก๊าซด้วย

ที่มา http://www.space.com/27378-mars-rover-laser-tech-gas-leaks.html

ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับหลุมดำ โดย สตีเฟน ฮอว์คิง

       สตีเฟน ฮอว์คิงมีทฤษฎีใหม่ เกี่ยวกับหลุมดำในจักรวาล เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่

อะไรคือสิ่งที่ยืนยันว่าเป็นหลุมดำ?
ภาพที่ 1 ภาพเส้นกาล-อวกาศที่ถักถอขึ้น เกิดเป็นแรงโน้มถ่วง
       เป็นคำถามที่ดีครับ ตามที่นักทฤษฎีฟิสิกส์เข้าใจ กาล-อวกาศ เป็นเหมือนผืนผ้าที่อยู่ทั่วจักรวาล กลายเป็นแรงโน้มถ่วง เส้น"ขอบฟ้าเหตุการณ์"คือเขตที่หากตกลงไป จะไม่มีสิ่งใดกลับขึ้นมาได้แม้แต่แสง จากนั้นในปี 1974 ฮอว์คิงได้เสนอแนวคิดว่ามีอนุภาคบางตัวที่สามารถหนีออกจากหลุมดำได้ โดยอนุภาคดังกล่าวมีความเร็ว"มากกว่าความแสง" อนุภาพชนิดนี้ถูกตั้งชื่อว่า "รังสีฮอว์คิง"



ผมคิดว่า ผมสามารถแสดงให้เห็นว่า
ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าใจกลศาสตร์ควอนตัมได้
มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับควอนตัม?
       กลศาสตร์ควอนตัมมันเข้ากันไม่ได้กับทฤษฎีอื่น ๆ เช่น ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีทั้งสองนี้มันเกี่ยวกับหลุมดำ แต่ตัวทฤษฎีเองเข้ากันไม่ได้ ทำให้มันยากที่จะเข้าใจหลุมดำ ฮอว์คิงใช้ทฤษฎีควอนตัมในการอธิบายว่าหลุมดำไม่น่าจะมีสีดำสนิท หลุมดำควรจะปล่อยรังสีฮอว์คิงออกมาจำนวนเล็กน้อย ซึ่งทำให้หลุมดำสูญเสียมวลไปจนกระทั้งหลุมดำไม่มีมวล ในที่สุดหลุมดำก็จะหายไป



แสดงว่าหลุมดำไม่ได้อยู่ตลอดไป แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร?
       ทฤษฎีของรังสีฮอว์คิงกล่าวว่า เมื่อหลุมดำตาย ทุกอย่างที่ถูกหลุมดำดูดเข้าไปจะหายไปกับหลุมดำ! แต่ฟิสิกส์ควอนตัมกล่าวว่า ข้อมูลเกี่ยวกับอนุภาคจะไม่ถูกทำลายแม้แต่อยู่ในหลุมดำ จึงเกิดความขัดแย้งนี้ขึ้น ทฤษฎีอื่น ๆ ได้แนะนำให้แก้ปัญหา "ข้อมูลขัดแย้ง" โดยกล่าวว่า อนุภาค(ข้อมูล)สามารถหนีออกจากหลุมดำได้ (เรียกว่า การระเหยของหลุมดำ) แต่ฮอว์คิงไม่เห็นด้วย จนกระทั้ง 30 ปีต่อมา(2004) เขาคำนวณตัวเลขและพบว่า การระเหยของหลุมดำอาจจะเป็นไปได้


ด้านขวามือ เป็นลักษณะของ"กำแพงไฟ"
หมายความว่าทุกคนในขณะนี้เห็นด้วยเกี่ยวกับหลุมดำ?

       18 เดือนก่อนหน้านี้ ชุมชนนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับหลุมดำได้พูดถึงแนวคิดใหม่ คือ บริเวณขอบฟ้าเหตุการณ์จะมีกำแพงไฟอยู่ (firewall) แต่แนวคิดนี้กลับขัดแย้งกับทฤษฏีสัมพันธภาพ เนื่องจากทฤษฏีสัมพันธภาพกล่าวว่า อนุภาคที่กำลังจะเข้าสู่หลุมดำจะเดินทางผ่านไปเฉยๆราวกับว่าไม่มีอะไรขวางทางอยู่ (ทฤษฎีปัจจุบันกล่าวว่ามันมีกำแพงไฟอยู่)




ทฤษฎีใหม่นี้ไม่สอดคล้องกับทั้งทฤษฎีควอนตัมและทฤษฎีสัมพัทธ!
       จริง! ทฤษฎีกำแพงไฟนี้ ชี้ให้เห็นว่าหนึ่งในสองทฤษฎีนี้ผิด ดังนั้นนักฟิสิกส์จึงพยายามเพื่อหาทางแก้ปัญหาเหล่านี้ ตอนนี้ฮอว์คิงได้แนะนำว่า ควรเน้นในเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน - ขอบฟ้าเหตุการณ์

เดี๋ยวก่อน! ... หมายความว่าอนุภาคสามารถหนีออกมาจากหลุมดำได้หรือ?
       อาจเป็นไปได้ แม้ว่าอนุภาคอาจจะต้องใช้ความเร็วแสง "เส้นของ'ขอบฟ้าเหตุการณ์'ไม่ได้อยู่ในหลุมดำ" เขาเสนอแนวคิดใหม่ เปลี่ยนจากเส้นขอบฟ้าของเหตุการณ์ เป็นเส้น "ขอบฟ้าฟ้าปรากฏ"

แล้วเส้นขอบฟ้าทั้งสองแตกต่างกันอย่างไร?
       ยังไม่มีความชัดเจน ความคิดของขอบฟ้าปรากฏยังไม่สมบูรณ์ บทความล่าสุดของฮอว์คิงเสนอว่า กลศาสตร์ควอนตัมอาจบอกได้ว่าทั้งสองนี้ต่างกันอย่างไร

ลักษณะของหลุมดำ
นี้เป็นการค้นพบใหม่ใช่หรือไม่?
       ก็ไม่เชิง! เนื้อหาหลักของผลงานวิจัยใหม่นี้ เป็นความพยายามที่จะใช้แนวคิดเหล่านี้ในการแก้ไขความขัดแย้งเรื่องกำแพงไฟ แต่การล้มแนวคิด'ขอบฟ้าเหตุการณ์' ก็เหมือนกับล้มแนวคิด'ขอบฟ้าฟ้าปรากฏ'ไปด้วย สุดท้ายข้อมูลควอนตัมก็จะหายไปเช่นเดิม แต่ฮอว์คิงบอกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น เขาแนะนำว่าโครงสร้างของหลุมดำที่อยู่ด้านล่างของขอบฟ้าจะมีความวุ่นวาย ทำให้มันยากที่จะเข้าใจข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ข้อมูลจะยุ่งเหยิงไปหมด ไม่สามารถเข้าใจข้อมูลเหล่านั้นได้ แต่มันจะไม่ถูกทำลายจริง" มันเหมือนกับการพยากรณ์อากาศบนโลก ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์สภาพอากาศล่วงหน้าได้หลายวัน"


ฮอว์คิงใช่มั้ย? ที่จะแก้ไขความขัดแย้งนี้ได้?
       บทความของฮอว์คิงสั้นมาก มีเพียง 2 หน้าเท่านั้น และไม่มีการคำนวณ ดังนั้น แนวคิดของฮอว์คิงยังคงไม่สามารถารุปได้แน่ชัด ดูเหมือนว่าฮอว์คิงจะเปลี่ยนจาก กำแพงไฟ มาเป็น กำแพงที่แปรปรวน ซึ่งมันมีความหมายใกล้เคียงกัน จริงๆแล้วยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าฮอว์คิงแย้งเรื่องกำแพง

ศาสตราจารย์ สตีเฟน ฮอว์คิง
มันสำคัญไหม? ถ้าฮอว์คิงคิดถูก?
       ถ้าฮอว์คิงสามารถอธิบายเกี่ยวกับหลุมดำที่นำไปสู่ความเข้าใจที่ดีขึ้นของกลศาสตร์ควอนตัมพัทธภาพทั่วไป เราอาจจะเรียนรู้บางฟิสิกส์ใหม่ ซึ่งอาจมีผลกระทบเกี่ยวกับโครงสร้างของจักรวาล

ถ้าฮอว์คิงคิดผิดหล่ะ?
       ทุกคนไม่ชอบความผิดพลาด - และฮอว์คิงเป็นมนุษย์ ในวันเกิดครบรอบ 70 ปีของเขา ในงานวิทยาศาสตร์ที่มีนักวิทยาศาสตร์ที่แย้งทฤฏีของเขา ว่าข้อมูลจะไม่ถูกทำลายโดยหลุมดำ ซึ่งต่อมาฮอว์คิงพบว่าแนวคิดของเขาผิด! มันเป็น "ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" - ฮอว์คิงกล่าว

"Biggest Blunder" - S. H.

ที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม
1. http://www.newscientist.com/article/dn24937-stephen-hawkings-new-theory-offers-black-hole-escape.html
2. http://arxiv.org/pdf/1401.5761v1.pdf

ข่าวจากมนุษย์ต่างดาว เอเลี่ยนจากนอกโลก

ต้นฉบับของข้อมูลนี้ น่าจะมาจาก Mr.Jean Ederman ตอนนี้อายุ 49 ปี ชาวฝรั่งเศส ผู้ที่ทำงานในด้านการบิน

เขาอ้างว่า มีทหารนักบินเจ็ท ผู้จัดการและควบคุมการจราจรทางอากาศและสนามบิน และผู้เชี่ยวชาญในสาขาเศรษฐศาสตร์ได้พบกับประสบการณ์ที่แปลกประหลาด นอกจากนี้เขายังอ้างว่า มีเด็กบางคนที่มีประสบการณ์ที่ผิดปกติตั้งแต่อายุ 6 ปี ซึ่งต่อมาได้ก่อตั้งกลุ่มผู้ที่เคยพบเห็นยูเอฟโอ และอยู่ในกลุ่ม ET : extraterrestrial contact

เขาเขียนว่า : "... หลังจากที่ผมได้รู้วิธีการสั่งจิตตัวเองไปยังสถานที่ๆมีของมนุษย์ต่างดาวที่มีเมตตาอยู่ ผมได้รับข้อความต่อไปนี้ ... "

บางคนมีความต้องการ'อิสระ'และ'ความสุข' อิสระของคุณขึ้นอยู่กับความรู้และอำนาจของตัวคุณเอง ความสุขของคุณขึ้นอยู่กับความรักที่คุณได้ให้และได้รับ เช่นเดียวกับการแข่งขันที่ต้องใส่ใจทุกขั้นตอนของกระบวนการ คุณอาจรู้สึกโดดเดี่ยวในโลกของคุณ ความประทับใจนี้จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในโชคชะตาของคุณ แต่คุณจกำลังจะเข้าสู่ความวุ่นวายที่มีเพียงส่วนน้อยตระหนักถึง

มันไม่ใช่ความผิดของใคร หากคุณจะเลือกที่จะปรับเปลี่ยนอนาคตของคุณ มันเหมือนเป็นการลงประชามติทั่วโลกและคำตอบของคุณเป็นบัตรลงคะแนน

ทั้งนักวิทยาศาสตร์และผู้นำทางศาสนา ไม่กล่าวถึงเหตุการที่ไม่สามารถอธิบายได้หลายๆเหตุการณ์ ทั้งทางอากาศ และท้องฟ้าบาง ซึ่งมนุษย์เคยได้เห็นมาเป็น 1,000 ปี

หากอยากทราบความจริง ต้องเผชิญหน้ากับมัน โดยไม่ต้องมีความเชื่อใดๆ มีไว้เพียงความนับถือ

ปัจจุบันมีงานวิจัยเกิดขึ้นมากมาย ที่ค้นหาความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ วันนี้อารยธรรมของคุณถูกท่วมด้วยมหาสมุทรของข้อมูล ซึ่งมีงานไม่กี่ชิ้นงานที่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง

เราคือใคร?

ก็เหมือนกับคนอื่นๆในพันล้านกาแล็กซี่ ในจักรวาลนี้ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึก บางคนเรียกว่า "มนุษย์ต่างดาว" แม้ว่าเรื่องน่าจะฟังดูน่าตื่นเต้น แต่คุณและเราไม่ได้มีพื้นฐานที่แตกต่างกันมาก เรามีประสบการณ์ และขั้นตอนของวิวัฒนาการที่แน่นอน

เราไม่ใช่เทพเจ้าหรือลูกเทพเจ้า จริงๆแล้วเรามีความเท่าเทียมกับคุณ รูปร่างหรือร่างกายเราต่างจากคุณเล็กน้อย

เราจะสังเกตไม่เพียง; เรามีสติเช่นเดียวกับคุณ การดำรงอยู่ของเราคือความเป็นจริง แต่ส่วนใหญ่ของคุณไม่ได้รับรู้ว่ายังเพราะเรายังคงล่องหนถึงความรู้สึกและเครื่องมือส่วนใหญ่ของเวลาของคุณ

เราต้องการที่จะเติมเต็มช่องว่างนี้ในขณะนี้ในประวัติศาสตร์ของคุณ เราได้ตัดสินใจร่วมกันที่ด้านข้างของเรา แต่นี้ไม่เพียงพอ - เราต้องคุณเช่นกัน

คุณไม่สามารถมองเห็นเราได้ เรามีสติเช่นเดียวกับคุณ เรามีอยู่จริง! แต่ที่คุณมองไม่เห็น เพราะเรายังคงไม่ปรากฏตัวให้คุณเห็น

เราหวังที่จะเติมเต็มให้ประวัติศาสตร์ของคุณ พวกเราตกลงกันไว้เช่นนั้น แต่นี้ไม่เพียงพอ คุณต้องพึ่งตัวคุณเองด้วย

ถึงจุดนี้ คุณน่าจะกลายเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ เราไม่มีตัวแทนมนุษย์บนโลก ที่สามารถเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของคุณ

ทำไมไม่สามารถมองเราเห็นได้?

ในบางขั้นตอนของวิวัฒนาการ "มนุษยศาสตร์"  เราค้นพบหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างของตัวเรา เราสามารถปรากฏตัวหรือไม่ปรากฏตัวได้

ศาสตร์ด้าน "มนุษยศาสตร์" ของคุณได้ประสบความสำเร็จแล้ว ในห้องปฏิบัติการบางแห่ง ที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวอื่น ๆ - แต่ถูกเก็บไว้เป็นความลับขั้นสูง

นอกจากวัตถุทางอากาศหรือยานอวกาศ หรือปรากฏการณ์ที่รู้จักกันในชุมชนวิทยาศาสตร์ทางกายภาพของคุณที่เรียกว่า "ยูเอฟโอ" มันเป็นยานอวกาศที่สร้างมิติได้หลายมิติ มีความสามารถในการขยายมิติเหล่านี้

มนุษย์หลายคนได้มองเห็นและได้ยิน สัมผัสหรือการติดต่อทางจิตกับยานดังกล่าว - คนที่ได้เห็นหรือได้ยินจะรับรู้ได้ว่ามีพลังบางอย่างกำลังมองอยู่เหมือนกัน

เทคโนโลยีการสังเกตุการของคุณยังไม่ไกลพอที่จะมองเห็นเราได้ คุณไม่สามารถรับรู้ได้ ว่า เรามีตัวตนสิ่งนี้เราเข้าใจ

สำหรับเรา เราชื่นชมในความพยายามของมนุษย์ที่จะเป็นอิสระ ผู้คนสามารถจัดการกิจการของตัวเองได้

แต่โลกของมนุษย์อยู่ในกาแลคซีที่ถูกคาดหวังไว้มากกว่านี้

เราสามารถปรากฏในตอนกลางวันแสก ๆ เพื่อจะช่วยให้คุณบรรลุอิสระนี้ได้ แต่เรายังไม่ได้ทำ เพราะสิ่งที่คุณทำ คุณมีความพยายามน้อยเกินไปเพื่อให้คุณได้ตามที่ต้องการอย่างแท้จริง อาจเพราะความไม่รู้ไม่แยแส หรือความกลัว

คุณเป็นใคร?

คุณเป็นลูกหลานของประเพณีหลายอย่างที่ผ่านช่วงเวลา ได้รับการผสานร่วมกันโดยการมีส่วนร่วมของแต่ละบุคคล

เป้าหมายของคุณคือการรวมกัน ในขณะที่เคารพรากที่หลากหลายเหล่านี้จะบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันเป็นโครงการประเทศ การปรากฏตัวของวัฒนธรรมของคุณช่วยให้คุณแยกออกจากกันเพราะคุณให้พวกเขามีความสำคัญมากขึ้นกว่าที่คุณให้สิ่งมีชีวิตที่ลึกลงไปของคุณ

ที่มา http://earthweareone.com/alien-message-to-mankind-do-you-wish-that-we-show-up/

แผนที่ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ ไดโอนี | ดาราศาสตร์

แผนที่ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ ไดโอนี
คำอธิบาย: ภาพแผนที่ทรงกระบอกของดวงจันทร์ของดาวเสาร์นี้ เป็นสีที่ดูแปลกตา สร้างขึ้นโดยใช้ของข้อมูลภาพที่เก็บรวบรวม 10 ปี จากยานอวกาศแคสสินี ดวงจันทร์ไดโอนีถูกค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ที่ชื่อ "โจวันนี โดเมนีโก กัสซีนี"(Giovanni Domenico Cassini) ใน 1684, ไดโอนีมีขนาดประมาณ 1,120 กิโลเมตร ภาพที่ได้นี้ แปลงมาจากอินฟราเรดเป็นอัลตราไวโอเลต ความแตกต่างระหว่างความสว่างทางด้านขวา และความมืดทางด้านซ้าย เกิดจากลักษณะการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์(Tidal locking) ดวงจันทร์ดวงนี้ เหมือนดวงอื่นๆที่โคจรอยู่วงแหวนE คือ ซีกหนึ่งของดาวเคราะห์จะมืด

ชื่อบทความ The Map of Dione
Image Credit: Map - Paul Schenk (LPI),
Image Data - Cassini, ISS, JPL, ESA, NASA
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap141107.html

การทดลองใหม่ เพื่อค้นหาพลังงาน(รังสีฮอว์คิง)ที่หนีออกมาจากหลุมดำ


       การทดลองในห้องปฏิบัติการ แสดงให้เห็นว่าพลังงานจะหนีออกมาจากหลุมดำอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ได้ที่ถกเถียงกันอยู่ ว่าแสงไม่สามารถหนีออกมาจากหลุมดำได้? แต่มีบางสิ่งที่อาจจะหนีมาจากหลุมดำได้ มันเป็นชนิดของพลังงาน เรียกว่า "รังสีฮอว์คิง" ซึ่งเสนอโดยสตีเฟน ฮอว์คิง ในปี ค.ศ. 1974. จนกระทั้งปัจจุบัน ยังไม่มีใครเคยเห็นหรือตรวจสอบพบว่ามีรังสีฮอว์คิงอยู่จริง แต่มีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งคิดว่าเขาอาจจะได้การบันทึกหลักฐานสำคัญ คือ : พลังงานบางชนิดซึ่งเป็นประเภทที่อยู่ในหลุมดำได้หายไปจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ ถ้านักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ สามารถทำซ้ำและได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน เรื่องนี้จะนำเสนอหลักฐานที่แสดงว่ารังสีฮอว์คิงมีอยู่จริง

       Daniele Faccio เรียกการทดลองแบบใหม่นี้ว่า "งานที่น่าตื่นตาตื่นใจ และแหวกแนวทำงาน" นักฟิสิกส์ท่านอื่นก็ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "มันแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ทุกคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้"

       หลุมดำเป็นสถานที่ที่มีมวลมหาศาล(M)บรรจุอยู่ในปริมาตรที่น้อยนิด(V)(ความหนาแน่นมหาศาล) หลุมดำมวลมหาศาลสามารถม้วนกาแล็คซี่ทั้งหมดเข้าหากัน นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อว่าไม่มีอะไร ---แม้แต่แสง--- ที่สามารถหนีออกมาจากหลุมดำได้ แต่ในปี 1974 นักฟิสิกส์ สตีเฟน ฮอว์คิง จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในอังกฤษ เสนอความคิดใหม่จากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาบอกว่าอนุภาคบางตัวสามารถวิ่งออกมาจากหลุมดำได้(รังสีฮอว์คิง)

       ความคิดของเขามาจากโลกของฟิสิกส์ควอนตัม มันเป็นกฎควบคุมการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่าอะตอม ตามฟิสิกส์ควอนตัม อนุภาคคู่มักจะโผล่มาและดำรงอยู่ แต่เมื่อพวกมันชนกัน มันหายไปอีกครั้ง


       อะไรจะเกิดขึ้นถ้าอนุภาคเหล่านี้เกิดขึ้นที่ขอบของหลุมดำ และมีเพียงหนึ่งตัวตกลงไปในหลุมดำ---ฮอว์คิงสงสัย เขาสรุปว่า อนุภาคอีกตัวก็อาจหนีมาจากหลุมดำได้ และเหมือนอนุภาคนี้จะมาจากหลุมดำ เมื่อเวลาผ่านไป เพียงพอที่อนุภาคจะมีชีวิตรอด - เรียกว่าอนุภาคเหล่านี้ว่ารังสีฮอว์คิง -ซึ่งจะทำให้หลุดำหายไปทั้งหมด

       สำหรับทศวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นหารังสีฮอว์คิง ได้ทำการทดลองมากมาย ซึ่งเรื่องยุ่งยากมาก เพราะนักฟิสิกส์ไม่สามารถเข้าใกล้หลุมดำได้ (ใกล้ที่สุดก็ยังคงห่างหลายพันปีแสง) อีกเหตุผลที่มันพิสูจน์ได้ยากคือ รังสีฮอว์คิงอาจจะจาง ๆ ทำให้กล้องโทรทรรศน์ไม่สามารถมองเห็นมันได้

นักฟิสิกส์ ชื่อ Jeff Steinhauer
       Jeff Steinhauer เป็นนักฟิสิกส์ จากสถาบันเทคโนโลยีในไฮฟา(Haifa) การทดลองใหม่ Steinhauer เขาไม่ได้สร้างหลุมดำจริง ๆ ขึ้นมา แต่เขาสร้างแบบอะนาล็อก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เลียนแบบคุณสมบัติบางส่วนของหลุมดำ และใช้เสียงแทนแสง

       เสียงคล้ายกับแสง คือเดินทางเป็นคลื่น เพื่อที่จะเข้าใจการทำงานของSteinhauer ลองจินตนาการว่ามีเครื่องบินเจ็ทที่กำลังบินด้วยเร็วมากกว่าความเร็วของเสียง แล้วนักบินที่อยู่ด้านหลังเคาะหน้าต่างห้องนักบิน นักบินที่อยู่ข้างหน้าจะไม่ได้ยินเสียง เพราะเครื่องบินบินเร็วกว่าเสียง

       การทดลองของ Steinhauer ก็สร้างสถานการณ์ที่คล้ายกัน คือ เร่งอะตอมให้มีความเร็วถึงจุดที่อะตอมเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเสียง ถึงจุดนี้ อะตอมจะไม่สามารถหวนกลับได้ ซึ่งเปรียบกับ"ขอบฟ้าเหตุการณ์" จุดที่ไม่มีแสงหนีออกมาได้ เขาตรวจจับคลื่นเสียงที่เกิดขึ้นที่บริเวณขอบฟ้าเหตุการณ์ในห้องปฏิบัติการ

       Steinhauer พบว่ามีคลื่นบางส่วนสามารถหลบหนีออกมาได้ เขาสรุปว่านี้คือหลักฐานของรังสีฮอว์คิง เขาอธิบายการค้นพบของเขา12 ตุลาคม ในนิตยสาร "Nature Physics"

       นักฟิสิกส์ William Unruh ใช้เวลาทศวรรษที่ผ่านมาในการศึกษาหลุมดำและรังสีฮอว์คิง การทดลองใหม่เป็น "สิ่งที่น่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด" ในการหารังสีฮอว์คิง ในขณะเดียวกันเขาบอกว่า คลื่นเสียงอาจจะมาจากที่อื่นก็เป็นได้ ดังนั้นสำหรับตอนนี้เขามีความคิดเห็นว่า "รังสีฮอว์คิงยังไม่ได้รับการพิสูจน์"

       หลุมดำในการทดลองจะแตกต่างจากในอวกาศ การหารังสีฮอว์คิงจากหลุมดำในห้องปฏิบัติการอนาล็อกที่สร้างขึ้น "ไม่ได้พิสูจน์ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกับหลุมดำที่อยู่ในอวกาศ" แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนมั่นใจมากขึ้นว่า รังสีฮอว์คิงมีอยู่จริง

ที่มา https://student.societyforscience.org/article/escape-lab-built-black-hole

หนังเรื่อง The Theory of Everything สุดยอดทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์


       พรุ่งนี้(8 พ.ย. 57)จะมีหนังใหม่เรื่อง "The Theory of Everything" ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ สตีเฟน ฮอว์คิง ออกฉายให้กับผู้ชมสหรัฐอเมริกา หนังเรื่องนี้แต่งมาจากเรื่องจริงที่บันทึกไว้โดยภรรยาคนแรกของฮอว์คิง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่อยู่ในช่วงปี 1960 ในขณะที่ฮอว์คิงกำลังเริ่มต้นการวิจัยในระดับปริญญาเอกและการต่อสู้ต่อโรคร้ายที่เขาเป็น


       สตีเฟน ฮอว์คิง เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่โด่งดังมากที่สุดคนหนึ่ง ทั้งในด้านวิชาการและในสื่ออื่นๆ ถ้าพูดถึงดาราศาสตร์ เขามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องหลุมดำ และภาวะเอกฐานที่เรียกกันว่าบิ๊กแบง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาลของเรา เขาทักทอจักรวาล โดยของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ซับซ้อน (สำคัญสำหรับวัตถุขนาดใหญ่มาก) และกลศาสตร์ควอนตัม (ซึ่งอธิบายถึงวัตถุขนาดเล็กมาก) ฮอว์คิงเป็นคนแรกที่ทำนายว่าหลุมดำจะสูญเสียพลังงานหรือรังสีเมื่อเวลาผ่านไป ทฤษฎีนี้บัดนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม "รังสีฮอว์คิง" ซึ่งเป็นงานที่อาจจะชนะรางวัลโนเบล

นักแสดงเป็นสตีเฟน ได้พบกับสตีเฟน ตัวจริง
สตีเฟนตัวจริงรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เพราะหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาโดยเฉพาะ



Dennis Overbye (นิวยอร์กไทม์ส) ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาได้ชื่นชมผลงานของนักแสดงชั้นนำ "Eddie Redmayne" ซึ่งได้รับบทเป็นผู้ที่เป็นโรคโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

"อัจฉริยะ เกิดจากแรงบันดาลใจ 1% อีก 99% มาจากหยาดเหงื่อ"
- ทอมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์

"ถ้าผมมองเห็นอะไรๆได้ไกลขึ้น นั่นเพราะผมกำลังยืนบนบ่าของยักษ์ใหญ่"
- ไอแซก นิวตัน นักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์

ที่มา http://physicsbuzz.physicscentral.com/2014/11/the-theory-of-everything-new-stephen.html

เข้าสู่หลุมดำ | Into a Black Hole | โดยสตีเฟน ฮอว์คิง

คุณได้ยินผม(สตีเฟน ฮอว์คิง)ไหม?
       มันเป็นความสุขสำหรับผมที่ได้กลับไปประเทศชิลีอีกครั้ง ในเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิด 60 ปี ของเพื่อนเก่าและเพื่อนร่วมงานที่ผมนับถือ เขาชื่อ 'Claudio Bunster' ผู้ที่ผมได้รู้จักกับเขามาเกือบ 40 ปี Claudioทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ทั่วไป อยู่ในเมือง Valdivia ที่ CECs ซึ่งเป็นศูนย์ที่เขาสร้างขึ้น สถานที่นี้ มันมีความหมายกับผม

หนังเรื่อง The Black Hole
ฉายในปี 1979
       ว่ากันว่า 'ความจริง'บางครั้งก็แปลกกว่า'นิยาย' และไม่มีที่ไหนเลยที่เป็นจริงมากกว่ากรณีของหลุมดำ ความจริงของหลุมดำเป็นสิ่งที่แปลกกว่าในนิยาย ที่ซึ่งแต่งขึ้นโดยนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ผมจำได้ว่าผมเคยดูภาพยนตร์ของ Walt Disney film, เรื่อง The Black Hole, ฉายในปี 1979 มันเป็นเรื่องของยานอวกาศที่ถูกส่งไปสำรวจหลุมดำที่ซึ่งเพิ่งถูกค้นพบ มันไม่ได้เป็นหนังที่ดีมาก แต่มันมีตอนจบที่น่าสนใจ หลังจากที่ยานโคจรรอบหลุมดำ  นักบินอวกาศก็คิด!...วิธีเดียวที่จะเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในหลุมดำ คือ การลงไปในหลุมดำ ดังนั้นเขาจึงลงไปในหลุมดำ... เขาโผล่ออกมาในจักรวาลใหม่. นี่คือตัวอย่างของการใช้หลุมดำเป็นรูหนอนในนิยายวิทยาศาสตร์ (รูหนอนในนิยาย มันสามารถเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกจักรวาลอื่น หรือไปยังตำแหน่งอื่นในจักรวาลเดียวกัน) ถ้าหากว่าคนที่เข้าไปในหลุมดำยังมีชีวิตอยู่ นั้นจะทำให้เราสามารถเดินทางท่องอวกาศได้ มิฉะนั้น เราก็คงเดินทางด้วยความเร็วที่เชื่องช้า เพราะเราไม่สามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์

       ในความเป็นจริง นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ไม่น่าจะแปลกใจมาก เกี่ยวกับเรื่องราวของหลุมดำ เพราะเรื่องนี้ได้อยู่ในแนวคิดของนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์มานานกว่า 200 ปีแล้ว

หนังสือของ ลาปลัส
       ใน 1783 ติวเตอร์ ของมหาลัย'เคมบริดจ์' ชื่อ 'John Michell' ได้เขียนบทความในรายการปรัชญาของราชสมาคมแห่งลอนดอน เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเรียกว่า"ดาวมืด" เขาชี้ให้เห็นว่า ดาวที่มีมวลมากพอและมีขนาดเล็ก จะมีสนามแรงโน้มถ่วงที่สูงมาก จนกระทั้งแสงไม่สามารถวิ่งหนีออกมาได้ แสงใดๆที่ออกมาจากพื้นผิวของดาวมืดนี้ จะถูกดึงกลับโดยแรงโน้มถ่วงของดาวมืด John Michell ยังกล่าวอีกว่า ดาวแบบนี้ อาจจะมีเป็นจำนวนมาก แม้ว่าเราจะไม่สามารถเห็นดาวเหล่านั้น เพราะแสงจากดาวมืดจะไม่มาถึงเรา แต่เรายังคงรู้สึกถึงความโน้มถ่วงของมัน. วัตถุดังกล่าวเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า"หลุมดำ"

       ข้อเสนอแนะของที่คล้ายกันทำไม่กี่ปีต่อมา โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ "ปีแยร์-ซีมง ลาปลัส"(ลาปลาส) เขาได้เขียนเรื่องนี้เอาไว้ในหนังสือ 'The System of the World' ที่เขาแต่งขึ้น บางทีเขาอาจจะคิดว่ามันเป็นความคิดที่บ้ามาก

       ทั้งมิเชลล์และลาปลัส มีแนวคิดว่าแสงประกอบด้วยอนุภาคคล้ายลูกปืนใหญ่ ที่ยิงขึ้นฟ้า แล้วแรงโน้มถ่วงก็ดึงลูกปืนไว้ ทำให้ลูกปืนค่อยๆลดความเร็วลง และตกลงมายังพื้น แต่การทดลองที่โด่งดัง(Michelson–Morley experiment) โดยชาวอเมริกัน 2 คน คือ Michelson และ Morley ในปี 1887 แสดงให้เห็นว่า แสงเดินทางด้วยความเร็ว 186,000 ไมล์ต่อวินาทีเสมอ ไม่ว่ามันมาจากไหน

       นี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันไม่สอดคล้องกับแนวคิดของอวกาศและเวลา แต่ในปี 1915 ไอน์สไตน์ได้พัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา ไอน์สไตน์เสนอว่า อวกาศและเวลา(กาล-อวกาศ)ไม่ได้อยู่แยกจากกัน แต่พวกมันมีทิศทางที่แตกต่างกัน กาล-อวกาศนี้ไม่แบน แต่สามารถบิดเบี้ยวและโค้งงอได้โดยสสารและพลังงานในนั้น... เพื่อที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ นึกภาพแผ่นยางหนาๆที่มีลูกโบลิ่งวางอยู่บน(ซึ่งเปรียบเหมือนดวงดาววางบนอวกาศ) น้ำหนักลูกโบลิ่งจะกดลงไปในยาง และจะทำให้แผ่นยางโค้งงอ

       ในปี 1919 ชาวอังกฤษเดินทางไปแอฟริกาตะวันตก เพื่อมองไปที่แสงจากดาวที่ห่างไกล ที่ผ่านใกล้ดวงอาทิตย์ในช่วงอุปราคา พวกเขาพบว่า ตำแหน่งของดาวถูกขยับขึ้นเล็กน้อยจากตำแหน่งปกติ แสดงให้เห็นว่าเส้นทางของแสงจากดาว ผ่านกาล-อวกาศที่โค้งงอเนื่องจากน้ำหนักของดวงอาทิตย์ นั้นทำให้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปได้รับการยืนยัน

       หากเราวางน้ำหนักที่หนักมาก และมากขึ้นๆ น้ำหนักเหล่านี้จะกดแผ่นยาง จนทำให้เกิดเป็นหลุมลึกมาก จนกระทั้งไม่มีสิ่งใดกลับขึ้นมาจากหลุมได้

       สิ่งที่เกิดขึ้นในกาล-อวกาศ เป็นไปตามทฤษฎีสัมพัทธทั่วไป ดาวจะบิดเบือนกาล-อวกาศที่อยู่รอบๆมัน ยิ่งดาวมีมวลมากและมีขนาดเล็กมาก(ความหนาแน่นสูงขึ้น) มันจะยิ่งทำให้กาล-อวกาศเกิดหลุมที่ลึกมากตามไปด้วย ถ้าดาวขนาดใหญ่มีการเผาผลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ลดลง และหดตัวลงจนมันมีขนาดต่ำกว่า"ขนาดวิกฤต" มันจะก่อให้เกิดหลุมลึกในกาล-อวกาศที่ซึ่งแสงที่ไม่สามารถหลุดออกมาได้

       วัตถุดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า"หลุมดำ"โดยนักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ชื่อ "John Wheeler" ซึ่งเป็นหนึ่งในคนแรกที่ตระหนักถึงความสำคัญและอันตรายของหลุมดำ ชื่อของหลุมดำ(Black Hole)ถูกแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ชื่อนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่มืดและลึกลับ แต่ปีที่ผ่านมา มีผู้คนบางกลุ่มที่ต่อต้านชื่อนี้(Black Hole) ซึ่งให้เหตุผลว่า เป็นชื่อที่"ลามกอนาจาร!"

A Black Hole Has No Hair
       หากมองหลุมดำจากภายนอก เราจะไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ภายในหลุมดำได้ หากเราโยนโทรทัศน์ แหวนเพชร หรือศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของคุณลงในหลุมดำ หลุมดำจะจำเพียงแค่ว่า ของที่ตกลงมานั้น มีมวลรวมเท่าใดและสถานะของการหมุนเป็นแบบใด John Wheeler เรียกเหตุการณ์นี้ว่า "หลุมดำไม่มีผม" (A Black Hole Has No Hair)

       หลุมดำมีขอบเขตของมัน เรียกว่า"ขอบฟ้าเหตุการณ์" มันเป็นที่ๆแรงโน้มถ่วงมากพอที่จะดึงแสงกลับลงไปในหลุมดำ เนื่องจากไม่มีอะไรสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล จะไม่สามารถขึ้นมาจากหลุมดำได้

ลักษณะการตกลงไปในหลุมดำ
ขาจะถูกหลุมดำดึงอย่างแรง
กลายเป็นเส้นสปาเก็ตตี้
       การข้าม'ขอบฟ้าเหตุการณ์'จะเหมือนกับการที่เราตกลงไปใน'น้ำตกไนแอการา' ถ้าเราอยู่เหนือน้ำตกและถ้าเราพายเรือเร็วพอ เราก็จะไม่ตก แต่ถ้าเราอยู่เลยขอบของหน้าผาไปแล้ว เราจะไม่สามารถพายเรือ.กลับขึ้นมาได้ หากขาของเราตกลงไปในหลุมดำก่อน หลุมดำจะดึงขาเรา แต่ไม่ได้ดึงส่วนหัวและลำตัวของเรา นั้นจะทำให้เราถูกยืดให้ยาวและแบน ถ้าหลุมดำมีมวลไม่กี่เท่าของดวงอาทิตย์ ตัวของเราจะถูกฉีกขาดออกจากกัน และกลายเป็นเส้นสปาเก็ตตี้ก่อนที่หัวเราจะไปถึงเส้นขอบฟ้า แต่ถ้าเราตกลงไปในหลุมดำขนาดใหญ่มาก ซึ่งมีมวลหลายล้านเท่าของดวงอาทิตย์ เราจะไปถึงเส้นขอบฟ้าโดยไม่ยาก ดังนั้นถ้าหากเราต้องการที่จะสำรวจภายในของหลุมดำ ให้เลือกหลุมดำที่มีขนาดใหญ่ ประมาณล้านเท่าของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหลุมดำที่อยู่ศูนย์กลางกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรานี้เอง

       เราจะไม่ได้เห็นอะไรในขณะที่เรากำลังตกลงไปในหลุมดำ หากมีผู้ที่อยู่ห่างๆและกำลังมองเราอยู่ เขาก็จะไม่เห็นเหตุการณ์ใดๆที่อยู่ในเส้น'ขอบฟ้าเหตุการณ์' ขณะที่เรากำลังตกลงไปในหลุมดำ(ยังไม่ถึงเส้นขอบเหตุการณ์) เขาจะเห็นตัวเราเป็นเหมือนแสงสีแดงหรี่ๆ และก็เลื่อนหายไปจากสายตาของเขา โลกภายนอกจะรับรู้ว่าเราได้หายไปตลอดกาล

หลุมดำไม่มีผม
       ดั่งวลีที่ John Wheeler ได้เคยกล่าวไว้ ว่า "หลุมดำไม่มีผม"... คนที่อยู่ในหลุมดำ จะไม่สามารถบอกคนที่อยู่นอกหลุมดำได้ว่า มีสิ่งใดอยู่ในหลุมดำ ซึ่งหมายความว่าหลุมดำจะมีข้อมูลจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่หลุมดำ มีปริมาตรและพื้นที่ๆจำกัด ข้อมูลเหล่านั้นต้องใช้พลังงาน และพลังงานก็มีมวล ซึ่งถูกเสนอโดย Einstein สมการที่โด่งดัง(E = MC^2) ดังนั้นถ้ามีข้อมูลที่มากเกินไปในหลุมดำ มันก็จะยุบลงไปในหลุมดำ ขนาดของหลุมดำจะสะท้อนให้เห็นถึงปริมาณของข้อมูลที่หลุมดำเก็บไว้(ยิ่งหลุมดำมีขนาดใหญ่ แสดงว่ามันดูดวัตถุไว้มาก) มันก็เหมือนการซ้อนหนังสือมากขึ้นๆในห้องสมุด ในที่สุดชั้นวางหนังสือจะยุบลงไป

       หากปริมาณของข้อมูลที่ซ่อนอยู่ภายในหลุมดำ ขึ้นอยู่กับขนาดของหลุม จากหลักการทั่วไป แสดงว่าว่าหลุมดำจะมีอุณหภูมิสูง และเปร่งแสงเหมือนกับส่วนของโลหะร้อน แต่นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะเรารู้ว่าไม่มีอะไรที่ออกมาจากหลุมดำได้ มันเป็นความคิด??? แต่ผมค้นพบว่า อนุภาคสามารถรั่วไหลออกมาจากหลุมดำได้ เหตุผลก็คือว่า อนุภาคมีขนาดเล็กมาก! ตาม"หลักความไม่แน่นอน" ที่ค้นพบโดย "แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก" ในปี 1923 มีใจความว่า "ยิ่งรู้เกี่ยวกับอนุภาคนั้นมาก มันยิ่งไม่แน่นอน" พิจารณาหลุมดำขนาดเล็ก เราจะรู้ตำแหน่งของอนุภาคค่อนข้างชัดเจน นั้นหมายความว่า เราจะไม่รู้ความเร็วที่ชัดเจน ซึ่งเป็นไปได้ว่า มีบางอนุภาค จะสามารถมีความเร็ว"มากกว่าความเร็วแสง" อนุภาคนั้น จะสามารถหลุดออกมาจากหลุมดำได้ พิจารณาหลุมดำขนาดใหญ่ เราไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของอนุภาค ดังนั้น อนุภาคนั้นจะมีความเร็วที่แน่นอน คือ ความเร็วแสง ซึ่งไม่สามารถหลุดออกมาจากหลุมดำได้ นั้นหมายความว่า ยิ่งหลุมดำมีขนาดเล็ก(เช่น หลุมดำจิ๋ว) ยิ่งจะปล่อยอนุภาคออกมามาก อนุภาคดังกล่าว ถูกเรียกตามชื่อผู้คิดแนวคิดนี้ คือ "รังสีฮอว์คิง", (1974)

เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ โดย CERN
       นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นหาหลุมดำขนาดเล็ก(ไม่ใช่หลุมดำจุ๋ว)เหล่านั้น แต่จนถึงขณะนี้ไม่พบ นี้เป็นที่น่าเสียดาย เพราะถ้าพวกเขาหาพบ ผมน่าจะได้รางวัลโนเบล ความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง คือ เราอาจจะสามารถที่จะสร้างหลุมดำขนาดเล็กในมิติพิเศษของเวลา-อวกาศได้ ตามทฤษฎี มิติที่เราสามารถสัมผัสได้ มีเพียง 4 มิติ จากทั้งหมด 10 หรือ 11 มิติ เราไม่เห็นมิติพิเศษเหล่านี้เพราะแสงไม่กระจายผ่านมิติพวกนั้น มันผ่านเพียง 4 มิติ  การสร้างหลุมดำขนาดเล็กในมิติพิเศษเป็นเรื่องง่ายมาก โดยใช้"เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่", (the Large Hadron Collider) โดย "องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป", (CERN) เครื่องเร่งนี้มีลักษณะเป็นอุโมงค์วงกลมยาว 27 กิโลเมตร อนุภาคเดินทางรอบอุโมงค์ในทิศทางตรงข้าม และทำให้เกิดการชนกัน บางส่วนของการชนกันอาจสร้างหลุมดำขนาดเล็กขึ้น เหล่านี้จะแผ่อนุภาคในรูปแบบที่จะง่ายต่อการศึกษา ดังนั้นในที่สุด ผม(ฮอว์คิง)อาจได้รับรางวัลโนเบล

       เมื่ออนุภาคหนีออกมาจากหลุมดำได้ หลุมจะสูญเสียมวลและหดตัว ยิ่งหดตัวมาก อนุภาคก็จะยิ่งหนีออกมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดหลุมดำจะสูญเสียมวลทั้งหมดและหายไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับอนุภาคทั้งหมดและนักบินอวกาศตกลงไปในหลุมดำ? เมื่อหลุมดำหายไป พวกเขาไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้อีก อนุภาคที่ออกมาจากหลุมดำ มีลักษณะแบบสุ่มสมบูรณ์ และอนุภาคที่ขึ้นมาได้ จะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม เหมือนที่ก่อนมันจะตกลงไป อนุภาคที่ตกลงไปในหลุมดำ(กลายเป็นเพียงข้อมูล)ควรจะออกมาหมด ถ้าข้อมูลสูญหาย นั้นจะเป็นปัญหาที่อยู่เหนือความเข้าใจของนักวิทยาศาสตร์

       กว่า 200 ปีที่ผ่านมา เรามีความเชื่อในสิ่งวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ และเราจะค้นหากฎของวิทยาศาสตร์ที่ใช้คำนวณวิวัฒนาการของจักรวาล... นี่คือแนวคิดของลาปลัส(ลาปลาส) ถ้าเรารู้สถานะของจักรวาลในขณะใด ๆ กฎทางวิทยาศาสตร์จะสามารถตรวจสอบช่วงเวลาในอนาคตและเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดได้

       ครั้งหนึ่ง นโปเลียนถามลาปลาสว่า พระเจ้าสร้างความสมดลได้อย่างไร? ลาปลาสตอบว่า ผมไม่จำเป็นต้องสมมุติฐาน! ...ผมไม่คิดว่าลาปลาสอ้างว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แต่ลาปลาสหมายถึง เขาไม่สามารถเปลี่ยนกฏทางวิทยาศาสตร์ได้ และนั้นเป็นสิ่งสำคัญของกฏทางวิทยาศาสตร์ "กฏทางวิทยาศาสตร์จะเป็นกฏทางวิทยาศาสตร์ก็ต่อเมื่อไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติมาเปลี่ยนแปลงกฏ"

       ตามแนวคิดของลาปลาส หากรู้ตำแหน่งและความเร็วของอนุภาคใด ๆ เราจะสามารถทำนายอนาคตของอนุภาคเหล่านั้นได้... แต่ตามหลักความไม่แน่นอน กล่าวว่า หากเรารู้ตำแหน่งของอนุภาคอย่างชัดเจน เราจะรู้เรื่องความเร็วของอนุภาคเหล่านั้นลดน้อยลง พูดอีกอย่างก็คือ เราไม่สามารถรู้ทั้งตำแหน่งและความเร็วได้พร้อมๆกัน! แล้วเราจะสามารถทำนายอนาคตได้อย่างไร? คำตอบก็คือว่า ถึงแม้เราไม่สามารถแยกพิจารณาของตำแหน่งและความเร็วได้ แต่มีบางสิ่งที่เราสามารถคาดการณ์ได้ สิ่งนั้นเรียกว่า "สถานะควอนตัม" นี้เป็นบางสิ่งที่เราจะสามารถนำมาใช้คำนวณได้ทั้งตำแหน่งและความเร็ว เรายังคงคาดหวังว่าเราจะทำนายอนาคตของจักรวาลได้ หากเรารู้'สถานะควอนตัม'ของจักรวาลในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

       หากข้อมูลหายไปในหลุมดำ เราจะไม่สามารถที่จะทำนายอนาคตได้ เพราะหลุมดำจะทำลายชุดของอนุภาคใด ๆ เช่นชุดข้อมูลของโทรทัศน์ แม้ว่าโอกาสในการการปล่อยก๊าซแปลก ๆ อยู่ในระดับต่ำมาก แต่มันมีแนวโน้มที่จะมีการฉายรังสีความร้อน เช่นเดียวกับแสงจากโลหะร้อนสีแดง ถ้าเราไม่สามารถทำนายสิ่งที่ออกมาจากหลุมดำ มันอาจดูเหมือนว่ามันจะไม่สำคัญอะไรมาก ไม่มีหลุมดำที่อยู่ใกล้ ๆ เรา ดังนั้น นี้จึงเป็นเพียงหลักการ อาจจะมีหลุมดำเสมือนจริงที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของสูญญากาศ มันดูดซับชุดของอนุภาค แล้วปล่อยรังศีออกมา และหายไปในสูญญากาศอีกครั้ง จะเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า หากเราไม่สามารถตรวจสอบประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของเราอย่างได้ หนังสือประวัติศาสตร์และความทรงจำของเรา ก็อาจจะภาพลวงตา มันเป็นส่วนที่บอกเราว่า เราเป็นใคร หากไม่มีมัน เราจะสูญเสียตัวตนของเรา

       ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะตรวจสอบว่า ข้อมูลหายไปในหลุมดำ หรือไม่ ตามหลักการ ข้อมูลอาจจะกู้คืนกลับมาได้ หลายคนรู้สึกว่าข้อมูลไม่น่าจะหายไป แต่ไม่มีใครที่สามารถที่จะอธิบายได้ว่า หลุมดำเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ได้อย่างไร เหล่านี้เป็นข้อโต้แย้งในปีที่ผ่านมา สุดท้ายผมคิดว่า ผมรู้คำตอบ... มันขึ้นอยู่กับความคิดของ"ริชาร์ด ไฟน์แมน" กล่าวว่า ไม่มีประวัติศาสตร์เดี่ยว ๆ แต่จะมีหลายประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นประวัติศาสตร์ของตัวเอง(ประวัติศาสตร์ส่วนตัว) ในกรณีนี้ มีประวัติศาสตร์ 2 ชนิด คือ มีหลุมดำและไม่มีหลุมดำ ประเด็นก็คือ จากภายนอกเราไม่สามารถแน่ใจได้ว่ามีหลุมดำหรือไม่ จึงมีโอกาสเสมอว่าไม่ได้มีหลุมดำอยู่

       มันมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาข้อมูลไว้ได้ แต่ข้อมูลที่ได้กลับมาจะไม่อยู่ในรูปเดิม เช่นการเผาหนังสือ ผลที่ออกมาคือ ควันและขี้เถ้า 'Kip Thorne'และผมเดิมพันกับ'John Preskill'ไว้ว่า ข้อมูลจะหายไปในหลุมดำ เมื่อผมค้นพบว่าข้อมูลสามารถเก็บไว้ในหลุมดำได้อย่าง ผมยอมรับเดิมพัน ผมได้ให้หนังสือกับเขา 1 เล่ม บางทีสิ่งที่ผมให้ไป อาจเป็นเพียงขี้เถ้า

       สิ่งนี้บอกเราว่า มีความเป็นไปได้ว่า หากเราตกลงไปในหลุมดำ เราจะออกมาในจักรวาลอื่น ประวัติศาสตร์จะถูกเลือกโดยหลุมดำ หลุมดำต้องมีขนาดใหญ่ และถ้ามันหมุน มันน่าจะทะลุผ่านไปจักรวาลอื่นๆ และเราจะไม่สามารถกลับมายังจักรวาลเดิมได้ ดังนั้น ถ้าผมเป็นนักบินอวกาศ ผมจะไม่ลงไปในหลุมดำ

       หากตกลงไปในหลุมดำจะ เราจะไม่สามารถขึ้นมาได้ เหมือนการผสมสี เราไม่สามารถแยกสีที่ผสมรวมกันได้ แต่เราอาจจะไปโผล่ขึ้นที่จักรวาลอื่น ดังนั้น หากคุณรู้สึกว่ากำลังตกลงไปในหลุมดำ จงอย่ายอมแพ้ เพราะทุกสิ่งมีทางออกของมัน
สวัสดีครับ       

กาแล็กซีที่มองเห็นเพียงขอบของมัน | จักรวาล

ภาพกาแล็กซี ชื่อ NGC 4762
ทำไมถึงมีเส้นสว่างบนท้องฟ้า?
ภาพข้างๆนี้ เป็นกาแล็คซี่ดิสก์(รูปจาน) มันถูกมองว่า ขอบของกาแล็กซีนี้ มีความแบนราบเกือบสมบูรณ์

ภาพจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล เป็นภาพความงดงามของความบางของขอบกาแล็กซี่ดิสก์

NGC 4762 เป็นกาแล็คซี่ที่ใกล้กับ Virgo Cluster of Galaxies มันบาง จึงเป็นเรื่องยากที่จะกำหนดประเภทของกาแลคซี ตอนนี้เรารู้แค่ว่า ตรงกลางของกาแล็กซี่ มีความนูนนิดหน่อย นักวิทยาศาสตร์คาดว่า หากเรามองจากด้านบนของกาแล็กซี อาจเห็นมันเป็นโครงสร้างเกลียวก็เป็นได้ การแล็กซีนี้ มีความยาวประมาณ 100,000 ปีแสง กาแลคซีนี้(NGC 4762)เป็นกาแล็กซีที่หายาก* เนื่องจากโลกของเราเห็นเพียงขอบของกาแล็กซี่ กาแลคซีที่บาง จริงๆค่อนข้างที่จะพบบ่อย ตัวอย่างเช่น กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราเอง ก็ถือว่าแบน

*หายากที่ว่า คือ เรามองเห็นแค่ขอบของมัน

NGC 4762: A Galaxy on the Edge
Image Credit: ESA/Hubble & NASA
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap141105.html

บรรยายเกี่ยวกับจักรวาล โดยศาสตราจารย์ฮอว์คิง (Stephen Hawking)

       ศาสตราจารย์ฮอว์คิง(Stephen Hawking) ได้เขียนการบรรยายจำนวนมาก ให้กับประชาชนทั่วไป ด้านล่างนี้เป็นบางส่วนของการบรรยายสาธารณะล่าสุดที่เขียนไว้

เข้าสู่หลุมดำ (Into a Black Hole, 2008)
       มันเป็นไปได้ไหม? ที่เราจะตกลงไปในหลุมดำและโผล่ออกมาในจักรวาลอื่น! คุณสามารถหนีออกมาจากหลุมดำได้หรือไม่ หากคุณตกลงไป? ในการบรรยายนี้ ผมจะพูดคุยเกี่ยวกับบางสิ่งของหลุมดำ

จุดกำเนิดของจักรวาล (The Origin of the Universe, 2005)
       ทำไมเรามาที่นี่? เรามาจากไหน? คำตอบเหล่านี้ ต้องการการสังเกตุที่ยาวนาน แต่เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวขนาดนั้น หรือไม่เราก็ต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่านี้

ความสวยงามและจุดสิ้นสุดของฟิสิกส์
(Godel and the End of Physics, 2002)
       ในการพูดคุยนี้ ผมอยากจะถามว่า จนถึงขณะนี้เราสามารถไปได้ไกลแค่ไหน... ในการค้นหาความรู้และความเข้าใจ? เราจะได้พบกับรูปแบบที่สมบูรณ์ของกฎของธรรมชาติหนรือไม่? โดยรูปแบบที่สมบูรณ์ที่ผมหมายถึงคือ ชุดของกฎที่ทำให้เราสามารถทำนายอนาคตได้อย่างถูกต้อง การรู้สถานะของจักรวาลในเวลาใดๆ ความเข้าใจจุดมุ่งหมายของนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ จากยุคอริสโตเติล เป็นต้นไป

ข้ามเวลาและอวกาศ (Space and Time Warps, 1999)
       ในนิยายวิทยาศาสตร์ การเดินทางข้ามเวลาและอวกาศนั้นเป็นธรรมดา พวกเขาจะเดินทางไปอย่างรวดเร็วทั่วกาแล็คซี่ หรือสำหรับการเดินทางผ่านช่วงเวลา แต่นิยายวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน อาจจะเป็นความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ของวันข้างหน้า

จุดเริ่มต้นของเวลา (The Beginning of Time, 1996)
       ในการบรรยายนี้ ผมจะพูดคุยเกี่ยวกับ เรื่องเวลาที่สามารถเริ่มด้วยตัวมันเอง , แล้วมันจะจบด้วยตัวมันเองหรือไม่? หลักฐานทั้งหมดในปัจจุบันดูเหมือนว่าจักรวาลจะไม่คงอยู่ตลอดไป เรารู้ว่ามันมีจุดเริ่มต้นประมาณ 15 พันล้านปีก่อน นี้น่าจะเป็นการค้นพบที่น่าทึ่งที่สุดของจักรวาลสมัยใหม่ แต่เรายังไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะมีจุดสิ้นสุดหรือไม่...อย่างไร?

ชีวิตในจักรวาล (Life in the Universe, 1996)
       ในการพูดคุยนี้ ผมอยากจะคาดเดาเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตในจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาชีวิตที่ชาญฉลาด(เช่นมนุษย์) ผมจะพูดถึงเรื่องของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งในด้านเก่งและโง่เขลา ที่ไม่คำนวณเพื่อช่วยในการอยู่รอดของสายพันธุ์

หางของกาแลคซี่ลูกอ๊อด | จักรวาล

(กาแลคซี่ลูกอ๊อด หรือ Tadpole Galaxy
หรือ Arp 188)
      ทำไมกาแล็คซี่นี้ถึงได้มีหางยาว? ภาพทิวทัศน์ที่งดงามนี้ ได้มาจากข้อมูลภาพมรดกฮับเบิล กาแลคซี่ที่ห่างไกลนี้ เป็นชนิดก้นหอย ชื่อ "Arp 188" หรือ "กาแลคซี่ลูกอ๊อด"

      กาแลคซี่ลูกอ๊อดอยู่ห่างจากโลกประมาณ 420,000,000 ปีแสง ไปทางกลุ่มดาวที่อยู่ตอนเหนือของ 'Draco ' หางที่สะดุดตาของมันมีความยาว 280,000 ปีแสง ซึ่งเป็นกระจุกดาวสีฟ้าขนาดใหญ่ที่สดใส

      สิ่งที่ทำให้มันมีลักษณะเช่นนี้คือ มีกาแลคซีขนาดเล็ก เดินทางผ่านมาด้านหน้าของกาแลคซีกาแลคซี่ลูกอ๊อด (Arp 188) (จากขวาไปซ้ายในภาพนี้) ในระหว่างการเผชิญหน้าอย่างใกล้ชิด แรงดึงดูดของกาแลคซีที่ผ่านมา ได้ดึงเกลียวนอกของกาแล็กซีลูกอ๊อด ซึ่งประกอบด้วยก๊าซและฝุ่น จึงกลายเป็นหางที่งดงาม

      กาแลคซีผู้บุกรุก อยู่ด้านหลังของกาแลคซี่ลูกอ๊อดประมาณ 300,000 ปีแสง สามารถมองเห็นผ่านแขนของเกลียวที่มุมขวาบน ในอนาคต กาแลคซี่ลูกอ๊อดมีแนวโน้มที่จะไม่หาง เพราะหางของมันจะกลายเป็นกลุ่มของกระจุกดาว

ชื่อบทความ Arp 188 and the Tadpole's Tail
Image Credit: Hubble Legacy Archive, ESA, NASA;
Processing & Copyright: Joachim Dietrich
ที่มา http://apod.nasa.gov/apod/ap140825.html